นักศึกษารวมตัวหน้าตึกอธิการ ม.นเรศวร - ท้วงนโยบาย กรีนยูนิเวอร์ซิตี้ ห้ามใช้รถจยย.

เมื่อ11.00 น.วันที่ 18 ส.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มนิสิตนักศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร รวมตัวกันที่บริเวณโรงกีฬาเอนกประสงค์ กองกิจการนิสิตภายในมหาวิทยาลัยนเรศวร เนื่องไม่พอใจนโยบาย มหาวิทยาลัยสีเขียว หรือ กรีนยูนิเวอร์ซิตี้ ห้ามไม่ให้นักศึกษาขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาในบริเวณมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นมา โดยกำหนดให้นำรถจักรยานยนต์ไปจอดตามจุดที่กำหนดไว้ ซึ่งรถจักรยานที่มหาวิทยาลัยมีไว้ให้ใช้ประมาณ 500 คันขี่แทน และนั่งรถไฟฟ้าเท่านั้น

หลังจากทางมหาวิทยาลัยสั่งห้ามดังกล่าว ทำให้นิสิตนักศึกษาต่างแสดงความไม่พอใจกับโครงการดังกล่าว เพราะสร้างความเดือดร้อนในเรื่องการเดินทางไปเรียนตามตึกคณะต่างๆ ตลอดทั้งรถจักรยานที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเอาไว้ก็ไม่พอเพียงกับนักศึกษาที่มีจำนวนหลายหมื่นคน จนกระทั่งมีการรวมตัวกันมาแล้วหลายครั้ง พร้อมเรียกร้องส่งหนังสือต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัยให้ยกเลิกโครงการดังกล่าว แต่ปรากฏว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายครั้ง ทุกอย่างกลับเงียบไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย จนสร้างความกดดันให้กับกลุ่มนักศึกษา กระทั่งเปิดภาคการศึกษาทางกลุ่มนิสิตต่างรวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อขอคำตอบที่ชัดเจนจากอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร

จากนั้นกลุ่มนิสิตหลายพันคนได้เคลื่อนตัวออกจากจุดโรงกีฬาเอนกประสงค์ กองกิจการนิสิตเดินเท้ามุ่งหน้าไปสำนักงานอธิการบดี โดยมีรถติดเครื่องขยายเสียงนำหน้า พร้อมกับแกนนำนักศึกษาพูดเชิญชวนให้นิสิตมารวมกันมากขึ้น ตลอดเวลามีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมาดูแลความสงบตลอดเวลา กระทั่งมาถึงบริเวณพระบรมสานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทางกลุ่มนักศึกษาได้นั่งคุกเข่าถวายบังคม ก่อนจะเดินไปยังหน้าตึกอธิการบดี พร้อมกับได้แจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบว่า ขอพบอธิการบดี เพื่อขอรับทราบโครงการมหาวิทยาลัยสีเขียว ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ซึ่งมี ผอ.ฝ่ายสำนักงานอธิการลงมาพบ แต่กลุ่มนักศึกษาไม่ยอมเจรจาด้วย จนมีเหตุมีผลักดันกันที่ประตูทางเข้า ซึ่งมี รปภ.ของมหาวิทยาลัยยืนกันอยู่ ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เนื่องจากมีนักศึกษาชายรายหนึ่งดันเข้าไปตึกอธิการได้ ทางเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งไล่ควบคุมตัวเอาไว้ได้ ทาง รปภ.กำลังจะลงไม้ลงทำร้ายร่างกาย แต่ห้ามได้ทัน ทำให้ไม่มีเหตุบานปลาย

ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ประสานกับอธิการ ทราบว่ากำลังติดภารกิจต้อนรับชาวต่างชาวที่เดินทางมาเยี่ยม จึงไม่สามารถมาพูดคุยหรือเข้าพบได้ ทำให้นิสิตนักศึกษาต่างแสดงความไม่พอใจคิดว่าเป็นการถ่วงเวลา จึงได้ให้เวลากับทางเจ้าหน้าที่ว่า หากอธิการไม่มีคำตอบให้ในวันนี้จะบุกเข้าไปภายในทันที ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องล็อกประตูคล้องโซ่เอาไว้ ก่อนจะเชิญแกนนำจำนวนหนึ่งเข้าไปพูดคุยกันภาย โดยใช้เวลานานพอสมควรแต่ไม้ข้อสรุป ในที่สุดหลังจากคณะชาวต่างชาวที่มาเยี่ยมพบปะกับอธิการได้เดินทางกลับ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพาหลบไปประตูด้านหลัง เพื่อเดินเท้าอ้อมไปขึ้นรถตู้ได้อย่างปลอดภัย

ต่อมา ศ.ดร.สุจินต์ จินายน อธิการมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ออกมาพบกับกลุ่มแกนนำนักศึกษาที่ห้องประชุม โดยมีการพูดคุยกันนานนับชั่วโมง โดยทางอธิการยืนจะดำเนินการเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยให้แกนนำนิสิตนักศึกษามาพูดคุยกันอีกครั้งในวันที่ 20 ส.ค. หลังจากแกนนำมาแจ้งให้กลุ่มนักศึกษาทราบ ปรากฏว่าสร้างความไม่พอใจอย่างมาก และนิสิตนักศึกษาทั้งหมดได้ปิดล้อมตึกอธิการไม่ให้ใครเข้าออก

นอกจากนั้นได้ได้ไปปิดประตูเข้าออกมาวิทยาลัย ไม่ให้รถยนต์ทุกคันวิ่งเข้าออกได้เลย ทำให้นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆหลายพันคน ซึ่งเดินทางมาดูงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ และรถของผู้คนที่เดินทางมาโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวรได้รับผลกระทบ ไม่สามารถเข้าออกได้เช่นกัน ระหว่างนั้น มีนักศึกษาชายรายหนึ่งขับรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิติดสติ๊กเกอร์กู้ภัยข่าวภายเข้ามา เพื่อจะผ่านทางกลุ่มที่ประท้วงกันอยู่ แต่กลุ่มประท้วงไม่ยอมให้ผ่าน จนเกิดเหตุการณ์ลงไม้ลงมือชกต่อยกัน แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ก่อนนักศึกษาคนนั้นขับรถยนต์ออกไป

หลังมีการปิดประตูใหญ่ทางเข้ามหาวิทยาลัยนเรศวร จนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ทหาร ได้เข้าไปพบกับอธิการมหาวิทยาลัยนเรศวรอีกครั้ง เพื่อแจ้งสถานการณ์ภายนอกว่านักศึกษาได้ปิดประตูและทางเข้าออกหมดแล้ว อยากจะให้อธิการผ่อนปรนการใช้รถจักรยานยนต์ของนิสิตนักศึกษาไปก่อน เพื่อลดความตรึงเครียด ในที่อธิการบดีได้อนุญาตผ่อนผันให้นิสิตนักศึกษาใช้รถจักรยานยนต์ในวันที่ 18-20 ส.ค. โดยในวันที่ 20 ส.ค. ให้ส่งตัวแทนแกนนำทั้งหมดมาพูดคุยเพื่อหาทางออกอีกครั้ง จากนั้นแกนนำได้ไปแจ้งให้กลุ่มที่ประท้วงอยู่ด้านนอกทราบ โดยมีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารชี้แจงด้วย หลังทราบว่ามีการอนุญาตให้ใช้รถจักรยานยนต์ได้ในช่วงนี้ นิสิตนักศึกษาต่างส่งเสียงเฮลั่น สร้างความดีอกดีใจกันทั่วหน้า ก่อนจะแยกย้ายกันกลับในเวลา 16.00 น. รวมเวลากว่า 5 ชั่วโมง